เสด็จกลับยุโรป ของ จักรพรรดิเปดรูที่ 1 แห่งบราซิล

สงครามฟื้นฟูราชบัลลังก์

ดูบทความหลักที่: สงครามเสรีนิยม
พระบรมสาทิสลักษณ์อดีตจักรพรรดิเปดรู ดยุคแห่งบราแกนซาขณะมีพระชนมายุ 35 พรรษา ในพ.ศ. 2376 หลังจากการบุกโปรตุเกส พระองค์และทหารของพระองค์ให้สัตย์สาบานว่าจะไม่โกนพระมัสสุ (เครา) จนกว่าอดีตพระราชินีนาถมาเรียที่ 2 จะทรงได้รับการฟื้นฟูราชบัลลังก์[195]

ในเช้าตรู่ของวันที่ 7 เมษายน อดีตจักรพรรดิเปดรู พระมเหสีและคนอื่นๆ รวมทั้งพระราชธิดา อดีตสมเด็จพระราชินีนาถมาเรียที่ 2 และพระขนิษฐาของพระองค์ เจ้าหญิงอนา เดอ จีซัส เสด็จประทับขึ้นเรือเอชเอ็มเอส วอร์สไปรท์ เรือยังคงทอดสมออยู่ที่รีโอเดจาเนโร และในวันที่ 13 เมษายน อดีตจักรพรรดิทรงย้ายไปประทับและออกไปยังยุโรปด้วยเรือเอชเอ็มเอส วอเลจ[196][197] พระองค์เสด็จถึงแชร์บวร์ก-อ็อคเตวิลแยร์ ฝรั่งเศสในวันที่ 10 มิถุนายน[198][199] ช่วงไม่กี่เดือนถัดไป พระองค์เสด็จประพาสไปมาระหว่างฝรั่งเศสและบริเตนใหญ่ พระองค์ทรงได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นแต่ไม่ทรงได้รับการสนับสนุนจริงจากภาครัฐ[200] พระองค์ทรงพบว่าพระองค์เองทรงอยู่ในสถานะที่อึดอัดพระทัยเพราะพระองค์ไม่ทรงมีสถานะอย่างเป็นทางการทั้งในพระราชวงศ์บราซิลหรือพระราชวงศ์โปรตุเกส อดีตจักรพรรดิเปดรูทรงได้รับพระอิสริยยศ ดยุกแห่งบราแกนซา ในวันที่ 15 มิถุนายน เป็นพระอิสริยยศที่พระองค์ทรงเคยได้รับครั้งหนึ่งเมื่อทรงเป็นรัชทายาทในราชบัลลังก์โปรตุเกส ถึงแม้ว่าพระอิสริยยศนี้ควรเป็นของรัชทายาทในสมเด็จพระราชินีนาถมาเรียที่ 2 ซึ่งแน่นอนพระองค์ไม่ทรงเรียกร้องให้เป็นการรับรู้โดยทั่วไป[201][202] ในวันที่ 1 ธันวาคม เจ้าหญิงมาเรีย อเมเลีย พระราชธิดาของพระองค์ที่ประสูติแต่พระนางอเมลี ได้ประสูติที่กรุงปารีส[203]

พระองค์ไม่ทรงลืมพระราชโอรสธิดาของพระองค์ที่อยู่ที่บราซิลภายใต้การปกครองของโจเซ โบนาเฟชิโอ พระองค์ทรงเขียนจดหมายอย่างขมขื่นพระทัยแก่แต่ละพระองค์ ทรงถ่ายทอดความคิดถึงอย่างมากล้นของพระองค์และทรงขอซ้ำๆให้แต่ละพระองค์เข้ารับการศึกษาอย่างจริงจัง ไม่นานก่อนที่จะทรงสละราชบัลลังก์ จักรพรรดิเปดรูตรัสแก่พระราชโอรสและองค์รัชทายาทว่า "พ่อตั้งใจว่าน้องชายของพ่อ มิเกลและตัวพ่อเองจะเป็นคนสุดท้ายที่มีการศึกษาไม่ดีในราชวงศ์บราแกนซา"[204][205] ชาร์ลส์ นาเปียร์ ผู้บัญชาการกองทัพเรือที่ต่อสู้ภายใต้ราชลัญจกรของจักรพรรดิเปดรูที่ 1 ในช่วงปีพ.ศ. 2373 ได้บันทึกว่า "ศักยภาพของพระองค์เป็นของพระองค์เอง ความต้องการการศึกษาของพระองค์ที่ไม่ดีและไม่มีมนุษย์คนใดมีเหตุผลมากที่ข้อบกพร่องมากกว่าตัวพระองค์เอง"[206][207]

พระราชหัตถเลขาของพระองค์ถึงจักรพรรดิเปดรูที่ 2 พระองค์มักใส่สำนวนที่มากเกินกว่าระดับการอ่านของผู้เยาว์ และนักประวัติศาสตร์ได้สันนิษฐานว่าทรงมีเจตนาเป็นคำแนะนำแก่องค์จักรพรรดิผู้เยาว์และในที่สุดอาจเป็นคำปรึกษาเมื่อทรงเจริญพระชันษาขึ้น[198] ความโดดเด่นของข้อความในพระราชหัตถเลขาถึงจักรพรรดิเปดรูที่ 2 ได้เสนอปรัชญาทางการเมืองที่มีประสิทธิภาพและลึกซึ้งของดยุกแห่งบราแกนซา ความว่า "ยุคสมัยที่เจ้าผู้ปกครองได้รับการยอมรับเพียงเพราะพวกเขาเป็นเจ้าผู้ปกครองได้สิ้นสุดลง; ในศตวรรษที่เราอยู่ ซึ่งประชาชนรู้ดีในสิทธิของตนเอง มันเป็นสิ่งจำเป็นที่ควรจะเป็นเจ้าผู้ปกครองและควรรู้ว่าพวกเขาเองเป็นมนุษย์ไม่ใช่พระเจ้า ที่สำหรับความรู้และความรู้สึกที่ดีของพวกเขาเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ ดังนั้นพวกเขาจะกลายเป็นที่รักและเคารพนับถือได้อย่างรวดเร็ว" พระองค์สรุปว่า "การเคารพนับถือของอิสระชนต่อผู้ปกครองของพวกเขาควรจะเกิดจาดความเชื่อมั่น ซึ่งพวกเขาถือได้ว่าผู้ปกครองของพวกเขาสามารถทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จในระดับความสุขที่พวกเขาจะปรารถนา และถ้าดังกล่าวไม่เป็นกรณีของผู้ปกครองที่ไม่มีความสุขกับประชาชนที่ไม่มีความสุข"[208]

ในขณะประทับอยู่ในปารีส ดยุกแห่งบราแกนซาทรงพบปะและเป็นสหายกับกิลแบร์ ดู มอติแยร์, มาควิส เดอ ลาฟาแยตต์ ผู้ผ่านศึกในสงครามปฏิวัติอเมริกันซึ่งกลายมาเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนที่เข้มแข็งของพระองค์[202][209] อดีตจักรพรรดิเปดรูทรงกล่าวอำลาครอบครัวของพระองค์, ลาฟาแยตต์และทหารกว่า 200 นายที่มาถวายพระพรในวันที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2375 พระองค์ทรงคุกพระชานุต่อหน้าพระราชธิดา อดีตพระราชินีนาถมาเรียที่ 2 และตรัสว่า "ท่านหญิง นี่คือนายพลโปรตุเกสผู้ซึ่งจะจะรักษาสิทธิอันชอบธรรมและเรียกคืนราชบัลลังก์ให้แก่ลูก" พระราชธิดาทรงกอดพระองค์และหลั่งพระอัสสุชล[210] อดีตจักรพรรดิเปดรูเสด็จทางเรือไปยังหมู่เกาะอะโซร์สในมหาสมุทรแอตแลนติก ซึ่งเป็นดินแดนของโปรตุเกสที่เดียวที่ยังคงจงรักภักดีในพระราชธิดาของพระองค์ หลังจากนั้นไม่กี่เดือนพระองค์ทรงเตรียมการขั้นสุดท้ายโดยตัดสินพระทัยเสด็จไปยังแผ่นดินใหญ่โปรตุเกส ทรงเข้าเมืองโปร์ตูโดยไม่ถูกคัดค้านในวันที่ 9 กรกฎาคม[211] พระองค์ทรงมาที่หัวหน้าของกองทหารเล็กๆที่ประกอบไปด้วยนักเสรีนิยม เช่น อัลเมดา การ์เร็ตต์และอเล็กซานเดร เฮอร์คูลาโนเช่นเดียวกับทหารรับจ้างจากต่างชาติและอาสาสมัครเช่น หลานของลาฟาแยตต์ คือ เอเดรียน ยูลส์ เดอ ลาสแตร์รี[212]

สวรรคต

พระบรมสาทิสลักษณ์อดีตจักรพรรดิเปดรูขณะเสด็จสวรรคต ในปีพ.ศ. 2377

อย่างรุนแรงมาก กองทัพเสรีนิยมของอดีตจักรพรรดิเปดรูถูกปิดล้อมในโปร์ตูมานานกว่าหนี่งปี ที่นั่นในช่วงต้นปีพ.ศ. 2376 พระองค์ทรงได้รับข่าวจากโจเซ โบนาเฟชิโอในบราซิลว่าพระราชธิดาของพระองค์ เจ้าหญิงเปาลา กำลังจะสิ้นพระชนม์แล้ว อดีตจักรพรรดิเปดรูทรงส่งสองคำขอร้องไปยังผู้ปกครองของพระราชโอรสธิดาของพระองค์ว่า "อย่างแรกโปรดผมที่สวยงามของเธอเล็กน้อยให้แก่ฉัน ขั้นตอนที่สองคือฝังเธอในคอนแวนต์แห่งนอซซา เซนโฮรา ดา อาจูดา [พระแม่แห่งการช่วยเหลือ] และไว้เธอในจุดเดียวของแม่ของเธอที่แสนดี ลีโอโพลดิน่าของฉันสำหรับผู้ที่แม้วันนี้ยังคงหลั่งน้ำตาแห่งความปรารถนา... ฉันขอให้ท่านเป็นพ่อ พ่อที่ไม่มีความสุขและน่าสงสาร ทีทำตามความปรารถนาของฉันและไปด้วยตัวเองที่จะฝากไว้เคียงข้างร่างแม่ของเธอด้วยลูกที่เกิดจากครรภ์ของเธอนี้และโอกาสนี้ขอสวดภาวนาแก่คนหนึ่งๆและคนอื่นๆ"[213]

หลายเดือนต่อมา ในเดือนกันยายน พระองค์ทรงพบกับอันโตนิโอ คาร์ลอส เดอ อันดราดา น้องชายของโบนาเฟชิโอ ซึ่งเดินทางมาจากบราซิล ในฐานะตัวแทนจากพรรคนักฟื้นฟู อันโตนิโอ คาร์ลอสทรงทูลให้ดยุคแห่งบราแกนซาเสด็จกลับบราซิลและปกครองอดีตจักรวรรดิของพระองค์ในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในระหว่างพระราชโอรสยังทรงพระเยาว์ อดีตจักรพรรดิเปดรูทรงตระหนักว่าฝ่ายนักฟื้นฟูต้องการใช้พระองค์เป็นเครื่องมือในการเพิ่มพูนอำนาจของพวกเขาเอง และทรงผิดหวังกับอันโตนิโอ คาร์ลอส โดยการทำให้ความต้องการเกือบเป็นไปไม่ได้ เพื่อให้ทรงแน่ใจว่าชาวบราซิลและไม่แต่เพียงฝ่ายหนึ่งที่อยากให้พระองค์เสด็จกลับอย่างแท้จริง เขายืนยันที่จะขอให้เสด็จกลับมาเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ที่ถูกต้องตามรัฐธรรมนูญ ความปรารถนาของประชาชนจะได้รับการถ่ายทอดผ่านผู้แทนในประเทศของพวกเขาและการแต่งตั้งของพระองค์จะต้องได้รับการอนุมัติจากสภานิติบัญญัติ เท่านั้นและ"เมื่อแสดงคำร้องขอของพระองค์ในโปรตุเกสโดยคณะผู้แทนแย่างเป็นทางการของรัฐสภาบราซิล" พระองค์จะได้รับการยอมรับพิจารณา[214][215]

ในระหว่างสงคราม ดยุคแห่งบราแกนซาทรงติดตั้งปืนใหญ่, ขุดสนามเพลาะ, มีแนวโน้มว่าจะทรงบาดเจ็บ, เสวยอาหารท่ามกลางทหารหมู่ยศต่างๆ และทรงต่อสู้ภายใต้อาวุธหนักที่คนที่อยู่ถัดจากพระองค์ถูกยิงหรือถูกระเบิดออกเป็นชิ้นๆ[216] เหตุของพระองค์ก็เกือบจะหายไปจนกว่าพระองค์จะเอาความเสี่ยงตามขั้นตอนแบ่งกองกำลังของพระองค์ และทรงส่งกำลังบางส่วนไปโจมตีแบบสะเทินน้ำสะเทินบกทางตอนใต้ของโปรตุเกส ภูมิภาคอัลเกรฟตกอยู่ภายในการขยายอาณาเขต ซึ่งจากนั้นตรงขึ้นเหนือไปยังลิสบอนซึ่งยอมจำนนในวันที่ 24 กรกฎาคม[217] อดีตจักรพรรดิเปดรูทรงดำเนินการต่อไปปราบส่วนที่เหลือของประเทศแต่เมื่อความขัดแย้งจะนำไปสู่ข้อสรุป พระมาตุลาของพระองค์ เจ้าชายคาร์ลอส เคานท์แห่งโมลินา ผู้ซึ่งพยายามช่วงชิงราชบัลลังก์ของพระราชนัดดาของพระองค์ คือ สมเด็จพระราชินีนาถอิซาเบลลาที่ 2 แห่งสเปน ทรงเข้ามาขัดขวางพระองค์ ด้วยความขัดแย้งในวงกว้างนี้ทั่วคาบสมุทรไอบีเรีย ในสงครามการ์ลิสต์ครั้งที่ 1 ดยุกแห่งบราแกนซาทรงเป็นพันธมิตรกับกองทัพเสรีนิยมสเปนที่จงรักภักดีต่อพระราชินีนาถอิซาเบลลาที่ 2 และทรงปราบปรามทั้งพระเจ้ามิเกลที่ 1 และเจ้าชายคาร์ลอส สันติภาพได้มาถึงในวันที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2377 ด้วยการยินยอมแห่งอีโบรามงเต[218][219]

ยกเว้นพระอาการประชวรด้วยโรคลมชักที่ทรงมีอาการชักในทุกๆไม่กี่ปีมานี้[36][220] อดีตจักรพรรดิเปดรูทรงมีความสุขในพระพลานามัยสมบูรณ์เสมอ อย่างไรก็ตามสงครามได้ทำลายรัฐธรรมนูญของพระองค์และในปีพ.ศ. 2377 พระองค์กำลังจะเสด็จสวรรคตด้วยวัณโรค[221] พระองค์ทรงถูกบังคบให้ประทับอยู่บนแท่นบรรทมในพระราชวังเกวลูซมาตั้แต่วันที่ 10 กันยายน[222][223] อดีตจักรพรรดิเปดรูทรงมีรับสั่งให้เขียนจดหมายถึงชาวบราซิล ที่ทรงเคยร้องขอให้ค่อยๆนำการเลิกทาสมาใช้ พระองค์ทรงเตือนพวกเขาว่า "ระบบทาสคือความชั่วร้ายและคือการโจมตีสิทธิและศักดิ์ศรีของเผ่าพันธุ์มนุษย์ แต่ผลที่ตามมาจะไม่เป็นอันตรายต่อผู้ที่ถูกจองจำกว่าประเทศที่มีกฎหมายให้มีระบบทาส มันเป็นมะเร็งร้ายที่กัดกินศีลธรรม"[224] หลังจากทรงทุกข์ทรมานจากพระอาการประชวนมาเป็นเวลานาน อดีตจักรพรรดิเปดรูเสด็จสวรรคตในเวลา 14.30 น. ของวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2477[225] ตามพระราชประสงค์ของพระองค์ พระหทัยถูกบรรจุในโบสถ์โปร์ตูส์ลาปา[226] และพระศพของพระองค์ถูกฝังที่วิหารหลวงแห่งพระราชวงศ์บราแกนซา[226][227] ข่าวการสวรรคตของพระองค์ได้มาถึงรีโอเดจาเนโรในวันที่ 20 พฤศจิกายน แต่พระราชโอรสธิดาของพระองค์ได้รับการแจ้งให้ทราบหลังจากวันที่ 2 ธันวาคม[228] โบนาเฟชิโอซึ่งต่อมาถูกปลดจากการเป็นผู้ปกครองของพระราชโอรสธิดา ได้เขียนจดหมายถึงจักรพรรดิเปดรูที่ 2 และพระเชษฐภคินีของพระองค์ว่า "ท่านเปดรูยังไม่ตาย เพียงคนธรรมดาเท่านั้นที่ตาย ไม่ใช่วีรบุรุษ"[229][230]

พระราชมรดก

อนุสาวรีย์อิสรภาพแห่งบราซิลที่ซึ่งเป็นที่ฝังพระบรมศพจักรพรรดิเปดรูที่ 1 และพระมเหสีทั้งสองพนะบรมราชานุสาวรีย์พระเจ้าเปดรูที่ 4 แห่งโปรตุเกสที่ จัตุรัสลิเบอร์ดาเด เมืองโปร์ตู

จากการเสด็จสวรรคตของจักรพรรดิเปดรูที่ 1 อำนาจของพรรคฟื้นฟูได้หายไปในชั่วข้ามคืน[231] การประเมินความยุติธรรมของอดีตจักรพรรดิกลายเป็นอดีตไปเมื่อภัยคุกคามของการกลับสู่พระราชอำนาจของพระองค์ถูกลบออกไป อีวาริสโต เดอ เวกาหนึ่งในนักวิจารณ์พระองค์ที่เลวร้ายที่สุดได้ขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคเสรีนิยม ได้ออกคำสั่งซึ่งตามที่นักประวัติศาสตร์ โอตาวิโอ ทาร์ควินิโอ เดอ เซาซา ซึ่งมีมุมมองหลังจากนั้นไม่นานว่า "อดีตพระจักรพรรดิแห่งบราซิลไม่ทรงใช่เจ้าผู้ปกครองตามกฎหมายสามัญ...และความสุขุมทำให้พระองค์การเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการปลดปล่อยทั้งในบราซิลและในโปรตุเกส ถ้าพวกเรา[ชาวบราซิล]อยู่เป็นกลุ่มคนในชาติอิสระ ถ้าแผ่นดินของเราไม่ได้ถูกฉีกออกเป็นสาธารณรัฐศัตรูขนาดเล็กๆ ที่ซึ่งเพียงจิตวิญญาณอนาธิปไตยและกองทัพมีอำนาจเหนือกว่า พวกเราเป็นหนี้ในการตัดสินพระทัยอย่างเด็ดขาดของพระองค์ที่ยังคงหลงเหลือในหมู่พวกเราในการสร้างเสียงเรียกร้องครั้งแรกสำหรับอิสรภาพของเรา" เขากล่าวต่อว่า "โปรตุเกส ถ้ามันเป็นอิสระจากความมืดมิดและการปกครองเผด็จการที่ด้อยค่า...ถ้ามันสนุกกับผลประโยชน์ที่นำโดยผู้แทนรัฐบาลที่เรียนรู้ประชาชน มันเป็นหนี้แก่ท่านชายเปดรู เดอ อัลคันทารา ผู้ซึ่งทรงเหนื่อยหล้า, ทุกข์ยากและเสียสละเพื่อชาติโปรตุเกสทำให้พระองค์ได้รับเกียรติสูงเป็นบรรณาการแห่งชาติ"[232][233]

จอห์น อาร์มิเทจ ผู้ซึ่งอาศัยในบราซิลในช่วงครึ่งหลังของรัชกาลจักรพรรดิเปดรูที่ 1 ได้บันทึกว่า "แม้ข้อผิดพลาดขององค์จักรพรรดิที่ได้รับร่วมกับผลประโยชน์ที่ดีผ่านอิทะพลของพวกมันในกิจการของประเทศแม่ พระองค์ทรงปกครองด้วยพระปัญญามากก็จะทรงได้รับการยอมรับที่ดีในดินแดนของพระองค์ แต่บางทีอาจจะเป็นความโชคร้ายของมวลมนุษยชาติ" อาร์มิเทจทรงเสริมว่าเหมือน "อดีตจักรพรรดิของชาวฝรั่งเศส พระองค์ยังทรงเป็นบุตรแห่งโชคชะตาหรือมากกว่าที่ใช้เป็นเครื่องมือที่อยู่ในมือของทุกคนที่มองเห็นและโชคชะตาที่เป็นประโยชน์สำหรับความคืบหน้าไปยังปลายทางที่ดีและลึกลับ ในความเก่าแก่เช่นเดียวกับโลกใบใหม่พระองค์ทรงได้รับโชคชะตาต่อจากนี้ไปจะกลายเป็นเครื่องมือในการปฏิวัติต่อไป ก่อนและใกล้ความสง่างามของพระองค์แต่งานเพียงสั้นๆบนดินแดนบรรพบุรุษของพระองค์ อย่างมากพอที่จะชดเชยความผิดพลาดและความโง่เขลาของพระชนม์ชีพในอดีตของพระองค์ ด้วยความเสียสละและความกล้าหาญในสาเหตุของเสรีภาพทางการเมืองและศาสนา"[234]

ในปีพ.ศ. 2515 ในการเฉลิมฉลองครบรอบ 150 ปีการประกาศอิสรภาพของบราซิล พระบรมศพของจักรพรรดิเปดรูที่ 1 (แม้ว่าจะไม่ได้พระหทัยของพระองค์) ได้ถูกนำมายังบราซิล ตามที่พระองค์ทรงปรารถนาไว้ พร้อมด้วยการป่าวประกาศและพระเกียรติยศในฐานะประมุขแห่งรัฐ พระบรมศพของพระองค์ถูกฝังใหม่ในอนุสาวรีย์อิสรภาพแห่งบราซิลร่วมกับพระนางมาเรีย ลีโอโพลดิน่าและพระนางอเมลี ในเมืองเซาเปาลู[226][235] หลายปีต่อมา นีล ดับบลิว. มาเคาเลย์, จูเนียร์ ได้กล่าวว่า "คำวิจารณ์จากท่านเปดรูทรงแสดงออกอย่างอิสระและดุดัน มันทำให้พระองค์ต้องทรงสละราชบัลลังก์ทั้งสอง ความอดทนของพระองค์ของการวิจารณ์สาธารณะและความตั้งพระทัยของพระองค์ที่จะสละพระราชอำนาจทำให้ท่านเปดรูทรงแตกต่างจากบรรพบุรุษผู้ทรงสมบูรณาญาสิทธิ์ของพระองค์และจากเหล่าผู้ปกครองที่บีบบังคับของรัฐในทุกวันนี้ ที่ซึ่งมีระยะการดำรงตำแหน่งที่มีความปลอดภัยเช่นเดียวกับพระมหากษัตริย์ชรา" มาเคาเลย์ยืนยันว่า "ผู้นำเสรีนิยมที่ประสบความสำเร็จอย่างเช่น ท่านเปดรูอาจจะได้รับการเฉลิมพระเกียรติด้วยอนุสาวรีย์หินหรือสำริดเป็นครั้งคราว แต่พระบรมสาทิสลักษณ์ขนาดสูงสี่ชั้นนั้นไม่เข้ากับอาคารสาธารณะ ภาพเหล่านั้นจะไม่ได้ถูกถือในขบวนพาเหรดของหลายร้อยหลายพันคนที่สวมเครื่องแบบ, ไม่มีคำว่า '-isms' แนบไปท้ายชื่อของพวกเขา"[236]